ประเทศลาวประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงที่ผมสามารถเดินทางไปถึงนครหลวงเวียงจันทร์ด้วยเงินไม่ถึง สองร้อยบาท
ผมเลือกเดินทางโดยรถInternational Bus ซึ่งมีให้บริการอยู่ในสามจังหวัดคือ ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ค่าโดยสารจากขอนแก่นราคาไม่ถึงสองร้อย แต่ในวันที่ผมเดินทางรถจากขอนแก่นต้องรอหลายชั่วโมงผมจึงเลือกนั่งรถจากขอนแก่นเพื่อไปขึ้นที่อุดร เอกสารที่ต้องใช้คือ พาสปอตตัวจริงหรือใบข้ามแดนที่สามารถทำได้ที่หน้าด่าน แต่แน่นำว่าเป็นพาสปอตจะสะดวกกว่า
ช่องขายตั๋วโดยสารที่จังหวัดอุดร รอรถอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็เริ่มเดินทางสู่นครหลวงเวียงจันทร์
เมื่อมาถึงสะพานมิตรภาพไทยลาวผู้โดยสารทั้งหมดก็ต้องลงต่อแถวเพื่อทำพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ส่วนรถโดยสารจะไปรออยู่ คำเตือนคือ อย่าช้า และต้องพยายามดูเพื่อนที่ร่วมโดยสารมาด้วย ถ้าไม่อยากโดนทิ้ง กันไว้ดีกว่าแก้ น่ะครับ
เมื่อเดินทางไปถึงสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการแลกเงินจากเงินบาทเป็นเงินกีบ แล้วคุณอาจจะเป็นคนรวยพกเงินแสนภายในพริบตา
โรงแรมที่เลือกพักในขึ้นแรกราคาตีเป็นเงินไทย สามร้อยบาทสภาพอย่างที่เห็นในรูปแต่ นอนได้สบายมาก
บรรยากาศของประตูชัยยามค่ำคืน โทษทีที่ภาพไม่ชัดเพราะใช่กล้องมือถืถ่าย^^ การเดินทางในช่วงเช้าของวันแรกในนครหลวงเวียงจัทร์ผมเลือกการเดินเท้าตามแผ่นที่ไปรอบๆพยายามจะทำระยะทางให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งมาเจอแผงขายหวยที่เป็นแนวยาวอยู่หน้าสนามกีฬา เป็นสิ่งที่ตรอกย้ำว่า ไทย ลาวเป็ฯพี่น้องและญาติสนิทกันจริงๆแต่ต่างที่พี่ไทยขายกันในตึกแถวเปิดแอร์เย็นหรือไม่ก็เป็นพวกขายตรงเดินขาย ส่วนลาวนั้นตั้งโต๊ะกางร่มขายกางแดดกันไปเลย
แล้วสุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้กับความร้อนรีบโบกรถคล้ายๆรถขนผักบ้าทเราต่อรองราคา และสถานที่ ว่าให้เค้าพาไปเที่ยวสถานที่สำคัญในเมืองเวียงจันทร์ได้ในราคา สองร้อยบาท ถือว่าคุ้มดีกว่าเดินตากแดดตัวนำและหลงทาง
วัดเป็นสถานที่แรกๆที่ผมปรารถนาที่จะไปเยี่ยมเยือนหากเดินทางออกมาในระแวงบ้านใกล้เรือนเคียง
พระธาตุหลวงเวียงจันทร์
ประตูชัย
บรรยากาศด้านบนหลังจากต้องออกกำลังกายเดินขึ้นไป ไม่มีลิฟท์น่ะครับ
หลังจากเที่ยวรอบเมืองเวียงจันทร์จนเป็นที่พอใจ จุดมุ่งหมายต่อไปคือ วังเวียง เมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเวียงจันทร์ใช้เวราเดินทางไม่ถึงสี่ชั่วโมง แล้วแต่ยานพาหะนะ แต่คราวนี้ขอลุยแบบหนุ่มลาว นั่งรถโดนสารท้องถิ่นราคาตั่วร้อยกว่าบาท ไม่มีต่างชาติเลยครับ สภาพรถอย่างที่เห็น คือบรรทุกของเต็มหลังคาเลย
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการได้นั่งชมธรรมชาติสองข้างทาง
และแล้วก็เดินทางมาถึงวังเวียงหรือที่นักท่องเที่ยวพากันเรียกว่ากุ้ยหลินเมืองลาว สวยงามและบรรยากาศดีมาก แต่สิ่งที่หน้าเป็นห่วงคือการเติบโตเร็วมาก จนอาจขาดการควบคุ้มดูแล อันนี้เป็นห่วงในฐานะคนที่ชอบวังเวียงคนหนึ่งน่ะครับ
หลังจากสูดอากาศที่วังเวียงจนเต็มปอด เมืองต่อไปที่เมื่อมายังวาวแล้วต้องเดินทางไปให้ได้นั้นคือนครหลวงพระบาง การเดินทางจากวังเวียงไปหลวงพระบางนั้นจะสะดวกมากเนื่องจาก ในวังเวียงจะมีสถานีรถตู้ให้บริการ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง โดยเส้นทางจะลัดเลาะไปตามภูเขา ขอบอกว่าสวยมาก
เพียงแค่ได้เก็บภาพความสวยงามของธรรมชาติข้างทางถือว่าคุ้มแล้ว
หลังจากเดินทางมาถึงหลวงพระบางหากเราไม่ได้ทำการจองห้องพักมาสิ่งที่แนะนำคือ ให้เช่าจักรยาน ราคาไม่เกินหนึ่งร้อยบาทต่อวัน แล้วฝากของเค้าไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ปั่นชมเมือง หาที่พักหรือเฮือนพักในภาษาลาวนั้นเอง ในครั้งที่ผมๅปผมเลือกห้องพักที่ถือว่าดีเลยทีเดียวเมือเทียบกับราคา
เพราะผมสามารถบอกออกไปเห็นวิวแม่น้ำภายนอกห้องซึ่งตอนเช้าบรรยากาศดีมาก เมื่อเก็บของพักเหนื่อยเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลา ปั้นจักรยานคู่ใจเที่ยวชมเมืองโดยรอบ เมืองหลวงพระบางเป็นเมืองขนาดเล็กแต่เพียบหร้อมด้วยมนต์เสนห์ของสถาปัตยกรรมที่สวยงามเป็นที่สุด
สถานที่แรกที่แนะนำให้เข้าชมกันก็คือหอพิพิธภัณฑ์พระราชวัง หรือ หอคำ ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุและของมีค่า อาทิ บัลลังก์ ธรรมาสน์ เครื่องสูงและราชูปโภคของเจ้าชีวิต พระพุทธรูป และวัตถุโบราณ แต่ต้องเสียค่าเข้าชมน่ะครับ
วัดป่ารอดเป็นอีกหนึ่งวัดที่ผมแนะนำให้เข้าไปเที่ยวชมเพราะวัดนี้จะอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาพูสี เพราะไม่ต้องเสียค่าเข้า เพียงแค่ช่วยบริจาคทำบุญในการบูรณะภาพจิตรกรรมฝาผนังเท่านั้น
ภาพจิตรกรรมภายในวัดป่ารอด ที่ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่มาก
หลังจากชื่นชมความงามของศิลปะจนอิ่มใจเป้าหมายต่อไปคือ ยอดเขาพูสี ยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง เมื่อขึ้นไปบนยอดสามารถมองเห็นเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบ
บรรยากาศบนยอดเขาพูสี
นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า พูสีอาจหมายถึงพูศรี มาจากคำว่าศรีซึ่งเป็นศรีของเมืองหลวงพระบาง ด้านบนเป็นที่ตั้งของพระธาตุจอมสี ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสีเหลี่ยม ยอดประดับด้วยเศวตฉัตรสีทองสำริด 7 ชั้น สูงประมาณ 21 เมตร
หลังจากปีนขึ้นยอดเข่พูสีและตะเวนไหว้พระจนรู้สึกเหมื่อยล้าผมขอแนะนำให้ปั่นจักรยานไปรอบๆเมืองโดยไม่ต้องกำหนดจุดหมายปลายทางเลยครับ ปั่นไปเรื่อยๆไม่ต้องกลัวหลง แล้วก็หยุดในที่ที่อยากจะหยุด เพื่อหยุดชมธรรมชาติของความเป็นชนบทอย่างหลวงพระบาง แล้วคุณจะรู้ว่าหัวใจคุณจะเต้นช้าลงและทำให้คุณคิดอะไรได้หลายๆอย่างเลยทีเดียว
หลังจากนั้นก็จึงกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและก็ปั่นจักรยานคู่ใจออกมาทานอาหารพื้นบ้านที่ร้านอาหาร ขอบอกว่ามีแต่หัวทองทั้งนั้นครับ คนพื้นเพหรือคนเอเซียน้อยมากถ้าจะมีก็ญี่ปุ่นน่ะครับ ดั้งนั้นเราก็ต้องพยายามทำตัวกลมกลืนด้วยการสั่ง ก้อยปลากับข้าวเหหนียวมาทาน แซ่บ อีหลี่เด้อ
ต่อด้วยการเดินตลาดกลางคืนที่ถือว่าเงียบมากเมื่อเทียบกับที่เชียงใหม่บ้านเราแถมสินค้าก็ไม่หลากหลาย แต่ก็ถือว่าเดินชมบรรยากาศแล้วกันน่ะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น